เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ศูนย์บริหารเวลเนส และเขตนวัตกรรมทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดการประชุมหัวข้อ “การประชุมความร่วมมือการพัฒนาย่านนวัตกรรมการแพทย์กังสดาล” โดยมี รศ.นพ.ชลธิป พงศ์สกุล ผู้อำนวยการศูนย์บริหารเวลเนสและเขตนวัตกรรมทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นประธาน พร้อมด้วย นางสาวมณฑา ไก่หิรัญ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และผู้แทนจากสมาคมการค้าเฮลท์เทคไทย ผู้บริหารอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และผู้ประกอบการนวัตกรรมการแพทย์ ร่วมหารือแนวทางความร่วมมือ ณ ห้องประชุม Boardroom ชั้น 3 อาคารอำนวยการ อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 มหาวิทยาลัยขอนแก่น

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อผลักดันความร่วมมือในการพัฒนาย่านนวัตกรรมการแพทย์กังสดาล (Kangsadan Medical Innovation District : KMID) ให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมการแพทย์ระดับภูมิภาคอาเซียน โดยเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา โรงพยาบาล ภาคเอกชน และสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีสุขภาพ เพื่อสร้างพื้นที่ทดสอบนวัตกรรมการแพทย์จริง (Sandbox) และเร่งผลักดันเทคโนโลยีการแพทย์ไทยสู่การใช้งานในตลาดจริง

รศ.นพ.ชลธิป พงศ์สกุล กล่าวว่า ย่านนวัตกรรมการแพทย์กังสดาลมีศักยภาพพิเศษที่หาได้ยากในภูมิภาค เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากรสูง มีโรงพยาบาลศรีนครินทร์ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีผู้ป่วยนอกกว่า 10,000 คนต่อวัน และผู้ป่วยในกว่า 5,000 คนต่อวัน มีชุมชนกังสดาลที่มีอยู่ใกล้เคียง และอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาแล้วกว่า 10,000 ยูนิตในบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายการวิจัยที่แข็งแกร่งจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น

“เรามีเป้าหมายในการร้อยเรียงสิ่งที่มีอยู่แล้วในขอนแก่นให้เชื่อมโยงกัน โดยมุ่งเน้นให้เป็นศูนย์ประสานงานและพื้นที่ทดสอบนวัตกรรมจริง ขอนแก่นเป็นเมืองที่มีความหนาแน่นสูง จึงเหมาะสำหรับการพิสูจน์ความเป็นไปได้ในเชิงการตลาด ฉะนั้นเราจึงเชื่อมโยงงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยกับการทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพรายใหม่ๆด้านสุขภาพ และพยายามเชื่อมต่อสู่ตลาดระดับภูมิภาค เพราะถ้าทำแค่ขอนแก่นหรือในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว มันคงไม่เพียงพอ เราจึง start small แต่คิด global”

รศ.นพ.ชลธิป กล่าวต่อว่า ย่านนี้จะขับเคลื่อนด้วยยุทธศาสตร์ 5 ด้านหลัก ได้แก่ ชุมชนสุขภาพดี นวัตกรรมการแพทย์ ธุรกิจและท่องเที่ยวสุขภาพ เกษตรอินทรีย์ และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยเน้นเทคโนโลยีหลัก 4 ด้าน คือ Multi-Omics (Genomics และ Phenomics) เทคโนโลยี AI การบำบัดด้วยเซลล์ (Cell Therapy) และนวัตกรรมการฟื้นฟูสุขภาพ (Regenerative Medicine) พร้อมทั้งพัฒนาศูนย์เวลเนสและห้องปฏิบัติการกลาง (Central Lab) ให้บริการแก่ผู้ประกอบการและนักวิจัย โดยไม่ต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์แพงๆ เอง

นางสาวมณฑา ไก่หิรัญ กล่าวว่า สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติให้ความสำคัญกับโครงการ Thailand Innovation Hub: Medical & Health Tech เป็นอย่างยิ่ง โดยมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมการแพทย์ให้ออกสู่ตลาดได้จริง ซึ่งในปีนี้มี 2 แผนงานหลัก คือ แผนงาน Incubation สำหรับบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์แล้วแต่ต้องการพัฒนาเพื่อเติบโตในตลาด และแผนงาน Sandbox สำหรับผู้ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมแล้วแต่ต้องการทดสอบในพื้นที่จริงเพื่อพัฒนาให้สมบูรณ์ก่อนออกสู่ตลาด
“เราเชื่อว่าคนไทยมีความสามารถสูง แต่ขาดโอกาสในการนำนวัตกรรมไปทดลองใช้จริง ถ้ามหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลเปิดโอกาสให้นวัตกรรมเหล่านี้ได้ทดสอบในพื้นที่จริง จะช่วยให้เทคโนโลยีไทยเติบโตได้เร็วขึ้น เพิ่มรายได้ เพิ่มการใช้งาน และลดการนำเข้า” นางสาวมณฑากล่าว พร้อมเน้นว่า ปัจจุบันมีสตาร์ทอัพเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 10 ราย (Incubation) และ 16 ราย (Sandbox) โดยหลายรายเป็นผู้ประกอบการจากขอนแก่น

นางสาวมณฑา กล่าวเพิ่มเติมว่า NIA พร้อมประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อหาแนวทางเร่งรัดการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์นวัตกรรมการแพทย์ รวมถึงสนับสนุนให้เกิดการทดลองใช้งานจริงผ่านระบบ Sandbox และพัฒนาระบบมาตรฐาน (Platform) เพื่อช่วยให้นักวิจัยและสตาร์ทอัพสามารถนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดได้รวดเร็วและมีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการผลักดัน Soft Power และพัฒนาอุตสาหกรรมการแพทย์ให้เป็นหนึ่งใน 6 อุตสาหกรรมเป้าหมาย
การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมจากหน่วยงานสำคัญ ประกอบด้วย ดร.อภิรชัย วงษ์ศรีวรพล ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผศ.ดร.พญ.วิยะดา ปัญจรัก ผู้อำนวยการศูนย์เซลล์บำบัดรักษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผศ.ดร.จุฑารพ เพชระบูรณิน ผู้อำนวยการสถาบันฟีโนมแห่งชาติ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้แทนจากสมาคมการค้าเฮลท์เทคไทย และผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมการแพทย์ อาทิ บริษัท เอเวอรี่เดย์ ด็อกเตอร์ จำกัด และบริษัท ลิลลี่ฟาร์มา จำกัด หลังการประชุม คณะผู้เข้าร่วมได้เยี่ยมชมสถาบันฟีโนมแห่งชาติ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และต่อด้วยการเยี่ยมชมโรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในวันที่ 4 ธันวาคม 2568 เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการทดลองใช้นวัตกรรมการแพทย์ในพื้นที่จริง





