ในสัปดาห์นี้มีข่าวเศร้าสำหรับวงการสื่อสารมวลชนเมื่อนักข่าวช่อง 8 ได้เสียชีวิตลงในบ้านพัก แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยสาเหตุที่แน่ชัด แต่ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์และตั้งคำถามว่า “การทำงานหนัก ทำให้คนเสียชีวิตได้จริงไหม ?” วันนี้มหาวิทยาลัยขอนแก่นจึงอยากชวนทุกคนมาสำรวจภาวะความเสี่ยงจากการทำงานหนักของคนวัยทำงานที่อาจกำลังเผชิญอยู่ เพื่อให้เตรียมพร้อม รับมือ ปรับพฤติกรรมและเข้ารับการรักษาให้ได้ทันท่วงทีกับ รศ.พญ.แพรว โคตรุฉิน สาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน (อายุรศาสตร์โรคหัวใจ) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
“ปัจจุบันหลายคนทำงานหนักมากขึ้นจนส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะผิดปกติหลายอย่าง โดยส่วนสำคัญมาจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันทั้งการนอน การนั่ง และการกิน”

รศ.พญ.แพรว โคตรุฉิน สาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน (อายุรศาสตร์โรคหัวใจ) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า คนที่ทำงานหนักส่วนใหญ่จะมี “ภาวะติดหนี้การนอน” คือการนอนดึกหรือนอนไม่เพียงพอเป็นประจำจนส่งผลกระทบต่อร่างกาย ซึ่งโดยปกติแล้วการนอน 7-9 ชั่วโมงจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด แต่หากนอนได้น้อยกว่า 7 ชั่วโมงจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือด หรือลามไปจนถึงหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดในสมองเพิ่มขึ้นได้
“การนอนไม่พอจะกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น การเผาผลาญร่างกายไม่ดี น้ำตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง ท้ายที่สุดในระยะยาวจะทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โดยเราพบว่าคนไทยแม้แต่ในวัยรุ่นอายุ 17-19 ปี ก็มีพฤติกรรมนอนไม่เพียงพอ แม้แต่กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และพยาบาลก็นอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงถึง 70% กลุ่มแรงงานในภาคอุตสาหกรรมก็มีจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ที่นอนไม่ได้มาตรฐาน แปลว่าคนไทยในวัยทำงานนั้นทำงานหนักจนส่งผลต่อการนอนและในระยะยาวจะส่งผลต่อหัวใจและหลอดเลือดได้”

อีกปัญหาสำหรับกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องเผชิญเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศ คือ “ภาวะนั่งจม” หรือการนั่งนานเกิดไปจนทำให้เกิดโรคเรื้อรังในอนาคตได้ มีงานวิจัยพบว่าการนั่งท่าเดิมนาน 1 ชั่วโมงจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดถึง 5% และหากนั่ง 7-10 ชั่วโมงต่อวันก็จะเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจวายและโรคหลอดเลือดหัวใจรวมถึงหลอดเลือดสมองได้

นอกจากนี้ คนทำงานหนักมักจะเกิด “ภาวะกินตามอารมณ์” (Emotional Eating) โดยเฉพาะคนที่เครียดจากการทำงานหนัก หรือรู้สึกเหนื่อยจากการประชุมก็มักจะเลือกกินอะไรสักอย่างเพื่อเติมพลัง โหยหาของหวาน ๆ ของมัน ๆ หรือของโปรดที่กินอร่อย ซึ่งการกินจุบจิบเช่นนี้มักจะส่งผลให้เกิดโรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง เมื่ออ้วนลงพุงแล้วก็จะนำไปสู่โรคอื่นมากมาย ทั้งโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม รศ.พญ.แพรว ระบุว่า ภาวะเหล่านี้สามารถป้องกันก่อนเกิดโรคได้ด้วยการปรับพฤติกรรม สำหรับการนอนนั้น กลุ่มวัยทำงานที่ไม่สามารถนอนครบ 7-9 ชั่วโมงได้ ก็ควรนอนให้ได้คุณภาพดีมากที่สุด โดยให้นอนในห้องนอนที่ไม่มีจอโทรทัศน์และไม่เล่นโทรศัพท์มือถือเพื่อลดแสงสีฟ้า งดคาเฟอีนก่อนนอน 3-4 ชั่วโมงเพื่อให้หลับได้ลึกยิ่งขึ้น
ส่วนพฤติกรรมการนั่งนานนั้นถือเป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่ไม่ว่าจะออกกำลังกายทดแทนในช่วงเวลาอื่นอย่างไรก็ไม่สามารถช่วยได้ ดังนั้น ควรลุกขึ้นยืดเส้นทุก ๆ 30-45 นาที หรือเดินไป-มาเปลี่ยนอิริยาบถบ้างเพื่อลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ และสุดท้าย คือ การควบคุมอาหาร ไม่กินหวาน มัน หรือเค็มจนเกินไป และพยายามกินข้าวให้เป็นมื้อหลัก ซึ่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นก็ได้มีการออกแคมเปญ “ศรีนครินทร์ไม่กินเบรค” ลดของหวาน เพื่อเติมสุขภาพที่ดีให้คนทำงานหนัก ขณะเดียวกันวัยทำงานทุกคนควรเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ได้ทราบถึงความผิดปกติของร่างกายและเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที

ทั้งนี้ รศ.พญ.แพรว ยังได้ทิ้งท้ายว่า หากพูดถึง “การทำงานหนักจนเสียชีวิต” คำศัพท์การแพทย์นี้มีบัญญัติในประเทศญี่ปุ่น แต่ในวงการแพทย์หลาย ๆ ประเทศอาจจะยังไม่ได้มีคำจำกัดความที่ชัดเจน เพียงแต่การทำงานหนักอย่างเดียวอาจไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้เสียชีวิตได้ แต่อาจมีปัจจัยอื่นมาร่วมด้วย โดยเฉพาะเรื่องของพันธุกรรมที่เกิดโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง โดยเฉพาะหัวใจห้องล่างซ้าย เมื่อคนทำงานหนัก นอนไม่พอ แล้วไปดื่มแอลกอฮอล์ก็ยิ่งส่งผลให้หัวใจมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลงจนเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและเสียชีวิตได้ หรือบางคนมีความเครียดมาก ๆ แล้วไม่มีภูมิคุ้มกัน เกิดป่วยเป็นโรคไข้หวัดหรือไข้สูงแล้วมีพันธุกรรมในเรื่องโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะก็อาจจะทำให้อาการรุนแรงจนเสียชีวิตได้เช่นกัน
“หลาย ๆ ครั้ง มีการพูดถึงเรื่องการไหลตายหรือผีแม่หม้ายสำหรับคนทำงานหนักจนเสียชีวิต แต่จริง ๆ แล้วมันเกิดได้จากปัจจัยทางพันธุกรรมควบคู่กับความเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดจากการทำงานหนักหรือพฤติกรรมในชีวิตประจำวันนั่นเอง”
บทความ : ผานิต ฆาตนาค และ ธันญาภรณ์ เปลี่ยนพิทักษ์ นักศึกษาฝึกปฏิบัติสหกิจศึกษา ชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์





