ประเทศไทยประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ น้ำจึงเป็นทรัพยากรสำคัญ แต่ปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง มักก่อให้เกิดความแห้งแล้งในทุกภาคส่วนส่งผลเสียต่อชุมชน โดยเฉพาะกิจกรรมทางการเกษตร ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพต่ำ ขณะที่ต้นทุนในการผลิตสูง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพอนามัย รวมทั้งเกิดความขัดแย้งในการใช้น้ำในพื้นที่และการจัดการคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน ซึ่งการแก้ปัญหาจึงเป็นการแก้ไขแบบเฉพาะหน้า อาทิ แจกน้ำให้ประชาชน ขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล สร้างศูนย์จ่ายน้ำ หรือการพัฒนาการกักเก็บน้ำผิวดิน ดูเหมือนว่าอาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป กับสภาวะภูมิอากาศปัจจุบันที่มีความแปรปรวนสูง
มหาวิทยาลัยขอนแก่นจึง พัฒนาโครงการวิจัย เรื่อง การพัฒนาและจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ด้วยการเติมน้ำใต้ดิน โดยมี ดร.เกวรี พลเกิ้น อาจารย์ประจำคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นหัวหน้าโครงการฯ ดำเนินการในพื้นที่เป้าหมายจังหวัดปราจีนบุรี แนวทางหลักของโครงการนี้คือ การพัฒนากระบวน การจัดการเติมน้ำใต้ดิน (Managed Aquifer Recharge, MAR) ในชั้นน้ำบาดาลระดับตื้น (Shallow Aquifer) ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางการแก้ปัญหาภัยแล้งที่มีประสิทธิภาพและดำเนินการในหลายประเทศทั่วโลก โดยการนำน้ำหลากในฤดูน้ำมาก ลงไปกักเก็บไว้ในชั้นน้ำบาดาล แล้วสูบกลับขึ้นมาใช้ในฤดูแล้ง ประกอบกับภาวะโลกร้อน และภัยแล้งที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบันนี้ ไม่ได้เกิดแค่ช่วงฤดูกาล แต่จะเกิดเป็นช่วงๆละหลายๆ ปี จึงต้องเก็บสะสมน้ำในช่วงปีน้ำมากไว้ใช้ในช่วงปีน้ำน้อย ดังนั้นการเก็บน้ำบนดินอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอต่อการสร้างความมั่นคงด้านกรัพยากรน้ำในระยะยาว การจัดการเติมน้ำใต้ดินจึงเป็นการบูรณาการน้ำผิวดินร่วมกับน้ำใต้ดินอย่างยั่งยืน โดยโครงการดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของโครงการโอบอุ้มลุ่มน้ำไทย ของ บริษัท ทีซี ฟามาซูติคอล อุตสาหกรรม จำกัด (TCP) หรือ กลุ่มธุรกิจ TCP ที่มุ่งเน้นพันธกิจด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำครบทุกมิติ เพื่อสร้างความยั่งยืนและผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมอย่างยั่งยืน
ดร.เกวรี พลเกิ้น เผยว่า “จุดเริ่มต้นโครงการ การพัฒนาและจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ด้วยการเติมน้ำใต้ดิน มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มต้นทุนทรัพยากรน้ำใต้ดินให้แก่พื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ในจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายของกลุ่มธุรกิจ TCP รวมทั้ง ส่งเสริมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนอันเป็นการสร้างประโยชน์ให้แก่ทั้งภาคเกษตรกรรม และชุมชนในการดำเนินโครงการได้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2561 ผู้ดำเนินโครงการฯ ได้ทำการศึกษา และสำรวจความเหมาะสมทางด้านอุทกธรณีวิทยา ชั้นดินชั้นหิน ปริมาณและคุณภาพทั้งน้ำผิวดินและใต้ดิน ทั้งจังหวัดปราจีนบุรี และดำเนินการเติมน้ำใต้ดิน กระจายไปในหลายพื้นที่ของจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อช่วยเหลือพื้นที่ประสบปัญหาด้านทรัพยากรน้ำ รวมทั้งได้จัดตั้งชุมชนต้นแบบการเติมน้ำใต้ดิน เพื่อเป็นตัวอย่างในการพัฒนาการเติมน้ำใต้ดินอย่างครบวงจร ภายใต้กรอบวิชาการที่ถูกต้องและเหมาะสม มีการพัฒนาการเติมน้ำใต้ดินร่วมกับประชาชนในพื้นที่ ดำเนินการเติมน้ำใต้ดินอย่างเข้มข้น เพื่อให้เห็นผลสัมฤทธิ์ของการเติมน้ำในเชิงประจักษ์ด้วยการ “สร้างน้ำ สร้างอาชีพ และสร้างรายได้” ให้แก่พื้นที่ และเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับพื้นที่อื่นๆต่อไป การดำเนินโครงการได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน”
พื้นที่ใด? ควรค่าแก่การพัฒนาและจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ด้วยการเติมน้ำใต้ดิน
การเติมน้ำใต้ดินต้องดำเนินการตามความเหมาะสมของพื้นที่ เนื่องจากการเติมน้ำใต้ดินเป็นขบวนการที่ส่งผลต่อเนื่องในระบบอุทกวิทยา ซึ่งหากดำเนินการในพื้นที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ เช่น ในบริเวณพื้นที่ดิน และน้ำใต้ดินเค็ม อาจทำให้ดินเค็มและน้ำเค็มแพร่กระจายออกไปสู่พื้นที่อื่นๆ ดังนั้นการวิเคราะห์ศักยภาพของพื้นที่ เพื่อประเมินความเหมาะสมในการเติมน้ำใต้ดินต้องพิจารณาทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพน้ำที่ต้องนำมาเติม ปริมาณหรือความสามารถที่จะเติมน้ำได้ โดยทำการวิเคราะห์ความเหมาะสมของพื้นที่ และวิธีการเติมน้ำที่เหมาะสม ด้วยปัจจัยดังนี้ หน่วยหินทางธรณีวิทยา พื้นที่เพิ่มน้ำ-สูญเสียน้ำใต้ดินจากทิศทางการไหลของน้ำใต้ดิน การใช้ประโยชน์ที่ดิน คุณภาพของน้ำใต้ดิน ความชันภูมิประเทศ คุณภาพน้ำผิวดิน ปริมาณน้ำผิวดินส่วนเกินที่เหลือจากการซึมและการใช้น้ำ ในขั้นตอนการพิจารณาพัฒนาการเติมน้ำใต้ดิน มีขั้นตอนที่พัฒนาขึ้นจากการศึกษาภายใต้โครงการ 9 ขั้นตอน ดังนี้
โครงการพัฒนาและจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ด้วยการเติมน้ำใต้ดิน มีการขยายผลสู่ชุมชนต้นแบบ เพื่อเป็นแนวทางให้แก่พื้นที่ อื่น ๆ โดยได้เลือกตำบลนนทรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นชุมชนต้นแบบ จากความเหมาะสมของพื้นที่ในหลายปัจจัย เพื่อให้มั่นใจว่าพื้นที่ดังกล่าวเมื่อเติมน้ำใต้ดินแล้วเพื่อให้มั่นใจว่าพื้นที่ดังกล่าวเมื่อเติมน้ำใต้ดินแล้ว จะเกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชน ปัจจัยหลักที่ใช้พิจารณา ได้แก่
ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ต้องมีความเหมาะสมในการเติมน้ำใต้ดินระดับตื้น เกษตรกรในพื้นที่ใช้น้ำจากน้ำผิวดิน และน้ำใต้ดินที่มีระดับไม่เกิน 15 เมตร เป็นหลัก ทำให้ในพื้นที่นี้เน้นการเติมน้ำใต้ดินในชั้นน้ำใต้ดินระดับตื้น โดยชั้นดินและหินต้องมีคุณสมบัติน้ำสามารถซึมผ่านได้ดีและมีช่องว่างในดินให้กักเก็บน้ำที่เติมได้มากเพียงพอ เช่น กรวด ทราย หรือศิลาแลง สภาพภูมิประเทศต้องเอื้อต่อการกักเก็บน้ำผิวดินเพื่อนำเข้าเติมในระบบเติมน้ำใต้ดิน โดยในพื้นที่ ชุมชนต้นแบบ อยู่ติดกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ทำให้มีน้ำจากภูเขาไหลลงมามากในช่วงฤดูฝน เกิดน้ำท่วมระยะสั้น ก่อนที่น้ำจะไหลออกจากพื้นที่อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ฤดูแล้งกลับขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง
คุณภาพของน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน น้ำที่เติมลงไปต้องมีคุณภาพดีและไม่ทำให้น้ำใต้ดินเดิมที่มีเกิดการปนเปื้อน โดยพื้นที่ชุมชนต้นแบบมีการทำเกษตรอินทรีย์เป็นหลัก ทำให้น้ำที่ไหลในพื้นที่ไม่มีการปนเปื้อนสารเคมีจากการเกษตร อีกทั้งน้ำหลากจากภูเขาเป็นน้ำที่ไม่มีการปนเปื้อนจากกิจกรรมของมนุษย์ ทำให้สามารถเติมลงใต้ดินได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้โครงการได้มีการตรวจวัดคุณภาพน้ำผิวดินและน้ำใต้ดินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าการเติมน้ำใต้ดินมีความปลอดภัย และเกษตรกรสามารถนำน้ำไปใช้ในการปลูกพืชอินทรีย์ได้
สำหรับความร่วมมือจากชุมชน เริ่มต้นมาจากความต้องการของชุมชนเป็นหลัก ดังนั้นการสนับสนุนของผู้นำและชุมชน จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการพัฒนาการเติมน้ำใต้ดินอย่างยั่งยืน ด้วยการวางแผน พัฒนา เรียนรู้ร่วมกับการลงมือทำในพื้นที่ของตนเอง และส่งต่อให้ผู้อื่นด้วยการเป็นคนต้นแบบในการถ่ายทอดความรู้การเติมน้ำใต้ดินต่อไป
ปัจจุบัน พื้นที่นำร่องของโครงการฯ “ตำบลนนทรี” สามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีระบบเติมน้ำใต้ดิน 62 จุด สามารถเติมน้ำใต้ดินไปแล้ว 8.56 ล้านลูกบาศก์เมตร ระดับน้ำใต้ดินเพิ่มขึ้นกว่า 5 เมตร ในฤดูแล้ง ช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่สามารถนำน้ำมาใช้ได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การเติมน้ำใต้ดินเป็นวิธีการที่ผลสำเร็จจะขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ ตามลักษณะอุทกธรณีวิทยาและความเหมาะสมในการเติมน้ำใต้ดิน
ดร.เกวรี กล่าวว่า “โครงการฯ ไม่สามารถดำเนินการได้ในทุกพื้นที่ แต่จำเป็นต้องเลือกพื้นที่ที่มี ศักยภาพเหมาะสม เท่านั้น การพัฒนาการเติมน้ำใต้ดินในพื้นที่อื่นๆ จึงจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลเชิงลึกด้านอุทกธรณีวิทยา และองค์ประกอบด้านน้ำผิวดิน รวมทั้งการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ในการพัฒนาฐานข้อมูลในการจัดการเติมน้ำใต้ดิน เพื่อให้หลายพื้นที่ หลายหน่วยงานที่สนใจนำข้อมูลไปใช้ในการประเมินความเหมาะสมและตัดสินใจในการพัฒนาระบบเติมน้ำใต้ดินเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ของตนอย่างเหมาะสมต่อไป”
4 กลไกระบบเติมน้ำใต้ดิน พิจารณาให้เหมาะกับพื้นที่ขาดน้ำ
วิธีการเติมน้ำใต้ดินมีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของพื้นที่และวัตถุประสงค์การพัฒนา ในโครงการมุ่งเน้นเติมน้ำใต้ดินในระดับตื้น และมีไม่ความซับซ้อน ค่าใช้จ่ายต่ำจึงได้กำหนดให้มีการเติมน้ำใต้ดิน 4 วิธี ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ดังนี้
การเติมน้ำผ่านหลังคา เป็นการอาศัยการรวบรวมน้ำฝนจากหลังคาบ้านเรือนหรืออาคารขนาดใหญ่ แล้วนำน้ำลงสู่บ่อเติมน้ำใต้ดิน เหมาะสำหรับพื้นที่จำกัดและต้องการน้ำสะอาดกลับมาใช้
การเติมน้ำผ่านบ่อวง เป็นการใช้บ่อวงเป็นจุดรับน้ำจากน้ำฝนที่ไหลบ่าบนผิวดิน หรือน้ำท่า แล้วซึมลงสู่ชั้นน้ำใต้ดิน เหมาะกับพื้นที่ที่มีน้ำหลากหรือน้ำท่วมขัง และมีพื้นที่จำกัดไม่สามารถขุดสระได้
การเติมน้ำผ่านสระ เป็นการขุดสระน้ำลึกจนถึงชั้นน้ำใต้ดินระดับตื้น โดยพื้นที่ชุมชนต้นแบบจะอยู่ที่ความลึก 5-10 เมตร เพื่อกักเก็บน้ำและช่วยซึมน้ำลงใต้ดิน เหมาะกับพื้นที่ขนาดใหญ่และไม่มีปัญหาการปนเปื้อนของน้ำ และสุดท้าย การเติมน้ำผ่านสระขั้นบันได เป็นการใช้หลักการกักเก็บน้ำในพื้นที่ที่มีความลาดชันสูงและมีปริมาณน้ำมาก และไหลเร็ว โดยน้ำจะถูกกักเก็บจากสระบนที่อยู่สูงที่สุด เมื่อเต็มสระน้ำจะไหลไปสู่สระต่อไป และน้ำในแต่ละสระจะค่อย ๆ ซึมลงสู่ชั้นน้ำใต้ดิน
โดยการเติมน้ำทั้งหมด 4 วิธี จะช่วยเพิ่ม ต้นทุนทรัพยากรน้ำใต้ดิน และสามารถปรับใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะของแต่ละพื้นที่เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนได้
“ตำบลนนทรี” ชุมชนต้นแบบ จากสระร้างสู่แหล่งน้ำที่ยั่งยืน
กระบวนการการดำเนินงานเติมน้ำใต้ดินในพื้นที่ชุมชนต้นแบบ จำเป็นต้องผ่านการพิจารณาอย่างเป็นระบบจากชุมชน ผู้นำชุมชนในแต่ละระดับ และเกษตรกรเจ้าของพื้นที่ เพื่อให้ระบบเติมน้ำใต้ดินที่พัฒนาในพื้นที่มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาของตำบล และตอบสนองความต้องการของชุมชนอย่างสูงสุด
ดร.เกวรี พลเกิ้น เผยว่า “การเลือกวิธีเติมน้ำใต้ดินขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่เป็นสำคัญ โดยมีการพูดคุยและให้เจ้าของพื้นที่เป็นผู้พิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพื้นที่ของตน นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอผลลัพธ์ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การเติมน้ำในฤดูฝนและการสูบน้ำมาใช้ในฤดูแล้ง ผ่านแบบจำลองการเติมน้ำใต้ดินและการไหลของน้ำใต้ดิน พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจจากการใช้น้ำ เช่น การคำนวณรายได้ที่เกิดขึ้นจากการนำน้ำมาใช้ประโยชน์”
ดร.เกวรี พลเกิ้น กล่าวต่อว่า “การพัฒนาชุมชนต้นแบบนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การกำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการเติมน้ำใต้ดินเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคคลากรในพื้นที่ โดยมีการคัดเลือกต้นแบบ ที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการน้ำ พร้อมจัดตั้ง คณะทำงานชุมชนต้นแบบการเติมน้ำใต้ดิน ซึ่งมีโครงสร้างการบริหารงานที่ชัดเจน ประกอบด้วย ประธาน รองประธาน เหรัญญิก และเลขานุการ เพื่อให้สามารถดำเนินงานอย่างเป็นระบบและขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
ทั้งนี้คณะทำงานจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการเติมน้ำใต้ดินอย่างลึกซึ้ง โดยต้องผ่านการอบรมอย่างเข้มข้น ทั้งทางทฤษฎีและการปฏิบัติ การสำรวจและวิเคราะห์พื้นที่ เพื่อประเมินว่าพื้นที่ใดเหมาะสมต่อการเติมน้ำใต้ดินหรือไม่ หากพบพื้นที่ที่มีศักยภาพ คณะทำงานจะต้องพิจารณาวิธีการเติมน้ำใต้ดินที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เช่น ถ้าพื้นที่ใหญ่ มีปริมาณน้ำเยอะ ทำเป็นสระจะเหมาะสมกว่า เพราะสามารถรับ-เติมน้ำได้เยอะ ถ้าพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ก็จะแนะนำเป็นวิธีบ่อวง วิธีนี้อาจจะรับน้ำได้น้อยกว่าแต่ข้อดีคือชาวบ้านจะไม่เสียพื้นที่มาก หรือสามารถระบุพื้นที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนน้ำใต้ดินได้ เป็นต้น นอกจากนี้คนต้นแบบยังสามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับชุมชน หรือบุคคลที่สนใจการเติมน้ำใต้ดิน และสามารถให้คำปรึกษาเบื้องต้นให้กับพื้นที่อื่นๆต่อไป
นอกเหนือจากมิติทางเศรษฐกิจ โครงการยังมุ่งเน้นให้ชุมชนเกิดความตระหนักรู้ถึงคุณค่าของทรัพยากรน้ำ ตำบลนนทรี มีสระน้ำในพื้นที่ของเกษตรกรแต่ไม่มีน้ำหลงเหลือให้ใช้ในฤดูแล้ง ทำให้ไม่ได้เกิดการสูญเสียพื้นที่และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ เกษตรกรส่วนใหญ่จึงทิ้งให้เป็นสระร้างและไม่มีการดูแลรักษาจนตื้นเขินมีสระร้างกระจายอยู่ทั่วทั้งพื้นที่ กว่า 300 สระ โครงการได้เข้าไปพัฒนาสระร้างให้เป็นสระเติมน้ำใต้ดิน ด้วยการขุดให้ลึกถึงชั้นน้ำใต้ดินระดับตื้น และพัฒนาพื้นที่ให้มีปริมาณน้ำเข้าสระให้เพียงพอต่อศักยภาพการเติมน้ำใต้ดินในแต่ละจุด โดยพัฒนาสระเติมน้ำและสระขั้นบันไดจากสระร้างไปแล้วกว่า 40 จุด นอกจากนี้จากระดับน้ำใต้ดินระดับตื้นที่เพิ่มขึ้น ทำให้สระร้างหลายสระมีน้ำตลอดฤดูแล้ง ส่งผลให้เกษตรกรในพื้นที่ข้างเคียงจุดเติมน้ำใต้ดินที่มีสระร้างได้รับประโยชน์จากการจัดการเติมน้ำใต้ดินส่งผลให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม เจ้าของที่ดินสามารถนำพื้นที่เหล่านั้นมาพัฒนาและสร้างคุณค่าเพิ่มขึ้น ลดจากสูญเสียงบประมาณของรัฐ ปัจจุบัน ตำบลนนทรี จัดเป็นสถานที่ศึกษาดูงาน เป็นชุมชนต้นแบบ จากสระร้างสู่แหล่งน้ำที่ยั่งยืน เป็นหมุดหมายของนักจัดการน้ำท้องถิ่นทั่วประเทศอยากมาเยือนเพื่อเรียนรู้
สร้างน้ำ สร้างอาชีพ สร้างรายได้
โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวทางในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน เมื่อผู้คนตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรน้ำ พวกเขาย่อมเกิดความรักและหวงแหนแผ่นดินของตนเอง การบริหารจัดการน้ำใต้ดินจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่การเติมน้ำ ลงไปในผืนดิน แต่เป็นการสร้างรากฐานของชีวิตที่มั่นคง
ผลลัพธ์ของโครงการเป็นที่น่าพอใจ ทั้งต่อนักวิจัยที่สามารถสร้างน้ำ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นที่น่าพอใจสำหรับกลุ่มธุรกิจ TCP เพราะหากคิดในแง่การลงทุนพบว่า ได้ผลตอบแทนทางสังคมการการลงทุน (Social Return On Investment, SROI) ในระดับสูง โดยทุก 1 บาท ที่ลงทุนไป สามารถสร้างมูลค่ากลับคืนมาได้ถึง 17 บาท นอกจากนี้ ยังทำให้ชุมชนที่ขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งกว่า 3.6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี มีน้ำใช้เพื่อการเกษตรเพียงพอ และสามารถเพิ่มปริมาณน้ำมากกว่าที่ขาดแคลนได้ถึง 3 เท่าตัว ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้และสร้างความมั่นคงทางน้ำและชุมชนในระยะยาว
“สร้างน้ำ” คือการเติมเต็มทรัพยากรสำคัญให้กับชุมชน เพื่อให้ผืนดินที่เคยแห้งแล้งกลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง “สร้างอาชีพ” คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเมื่อน้ำหล่อเลี้ยงวิถีชีวิต เกษตรกรสามารถเพาะปลูก ผู้คนสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง “สร้างรายได้” คือผลตอบแทนที่เกิดจากการใช้น้ำอย่างคุ้มค่า นำไปสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของครัวเรือนและชุมชน
เมื่อน้ำและอาชีพดำเนินควบคู่กันไป รายได้ที่เกิดขึ้นจะทำให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ และกลายเป็นสังคมที่มีความยั่งยืนอย่างแท้จริง การเติมน้ำใต้ดินจึงไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาทางกายภาพของทรัพยากรน้ำเท่านั้น แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศแห่งความมั่นคง ที่ช่วยให้ชุมชนสามารถพัฒนาและดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนและขยายผลไปสู่ชุมชนอื่นเพื่อเป็นต้นแบบในการแก้ไขภัยแล้ง โดยอาศัยองค์ความรู้วิจัยจากนักวิชาการ การมุ่งมั่นพัฒนาของภาคเอกชน และความเข้มแข็งของชุมชน เหล่านี้ไม่ใช่หน้าที่คนใดคนหนึ่งแต่เป็นการร่วมมือกันจากทุกองคาพยพจึงสำเร็จได้อย่างดี
บทความ : จิราพร ประทุมชัย
ภาพ : บริษัท ทีซี ฟามาซูติคอล อุตสาหกรรม จำกัด (TCP) , ฐานเศรษฐกิจ , ไทยโพสต์